รีวิว Mi Watch สมาร์ทวอทช์น้ำหนักเบาหวิว ฟีเจอร์ครบครัน แบตโคตรถึก ในราคาแค่ 3,490 บาท

Mi Watch สมาร์ทวอทช์ตัวแรกที่เป็นของ Xiaomi จริง ๆ ได้เปิดตัวในไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้สมาร์ทวอทช์ทุกรุ่นจะเป็นของที่ทำตลาดในชื่อ Amazfit ที่เป็นบริษัทในเครื่อ ในครั้งนี้จึงพูดได้ว่าเจ้าตัวนี้เป็นสมาร์ทวอทข์ตัวแรกของ Xiaomi จริง ๆ นั่นเอง ซึ่งบทความนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับเจ้า Mi Watch นี้กัน

สเปค Mi Watch

หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.39 นิ้ว (454×454 พิคเซล)

รองรับเมนูและการแจ้งเตือนภาษาไทย

ระบบ HR Real-Time, SPO2, Stress Measure, Meditation (วัดลมหายใจ)

GPS และเข็มทิศในตัว

โหมดออกกำลังกาย 117 โหมด

กันน้ำ 5 ATM

แบตเตอรี่ใช้งานสูงสุด 16 วัน

น้ำหนัก 32 กรัม

ราคา 3,490 บาท

อุปกรณ์ในกล่อง

Mi Watch

แท่นชาร์จแม่เหล็ก

หนังสือคู่มือ

สมุด Warranty

จุดเด่น

หน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่เห็นชัด สีสันสด

รองรับ Always on Display

น้ำหนักเบาสุด ๆ แค่ 32 กรัม

แบตเตอรี่อึดมาก

โหมดออกกำลังกายมากถึง 117 ชนิด

รองรับการแจ้งเตือนและแสดงผลภาษาไทย

ข้อสังเกต

ไม่มีไมค์และลำโพง ทำให้ไม่รองรับการสนทนา การแจ้งเตือนด้วยเสียง และการใช้งานด้านคำสั่งเสียง และการบันทึกเสียง

ดีไซน์

Mi Watch ที่ Specphone เราได้มานั้นเป็นรุ่นสีดำสุดเท่ ที่มีหน้าขอขนาด 1.39 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอแบบ AMOLED ความละเอียด 454 x 454 พิกเซล ที่มีความคมชัด สีสันสวยงาม อ่านข้อความได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง และด้วยกระจก 2.5D tempered glass พร้อมเคลือบสารป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ ทำให้เวลาใช้งานไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นรอย แถมไม่ต้องมาคอยเช็ดหน้าจออีกด้วย

ที่ตัวเรือนจะมีปุ่มอยู่ทั้งหมด 2 ปุ่ม ได้แก่ปุ่ม Home สำหรับเรียกแอปต่างๆ ขึ้นมา และปุ่ม Sport ที่จะมีหน้า Exercise หรือ Workout ต่างๆ ให้เลือกใช้งาน ซึ่งจะมีโหมดออกกำลังให้เลือกถึง 117 โหมดด้วยกัน

ที่ด้านหลังของตัวเรือนนั้น Optical Sensor สำหรับวัดค่า HR, SPO2 และอื่น ๆ พร้อมด้วยขั้วชาร์แบบแม่เหล็ก

วัสดุตัวเรือนเป็นพลาสติก สายนาฬิกาเป็นซิลิโคน ทำให้ตัวเรือนมีน้ำหนักที่เบามาก ๆ และทนแรงกระแทกได้ดี นอกจากนี้เวลาใส่นาน ๆ ก็ไม่มีอาการระคายเคืองอีกด้วย

การใช้งาน

ในการใช้งานนั้นมีสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำก่อนเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อได้นั่นก็คือให้ทำการโหลดแอพที่ชื่อ Xiaomi Wear มาติดตั้งลงในเครื่องก่อน ซึ่งตัวแอพนี้นั้นใช้ได้ไม่จำกัดแบรนด์ไม่จำกัดยี่ห้อ แค่เป็นสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ Android 4.4 ขึ้นไป รวมถึง iOS 10.0 ขึ้นไป ก็สามารถใช้งานได้แล้ว แล้วก็จำเป็นต้องมี Mi Account อีกด้วย

สิ่งแรกที่จำเป็นต้องตั้งค่าเลยหลังจากเข้าแอพได้ก็คือ Notification (แจ้งเตือน) และ Incoming Call (แจ้งเตือนสายเข้า), เพราะเริ่มมาทั้งหมดจะถูกปิดเอาไว้ ส่วน Watch Face (หน้าปัด) สามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามใจอยาก

ในนหน้าแรกของตัวแอพ Xiaomi Wear นั้นจะเป็นหน้าสรุปข้อมูลว่าเราเดินไปกี่ก้าว ใช้พลังงานไปกี่ kcal ออกกำลังกายไปเท่าไร นอนไปกี่ชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจเท่าไร ใช้พลังงานไปกี่เปอเซ็นต์ มีความเครียดกี่คะแนน มีการยืนกี่ครั้ง VO2 Max กี่คะแนน และมีออกซิเจนในเลือดกี่เปอเซ็นต์ ซึ่งในแต่ละหัวข้อนั้นสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้

อีกหน้าจะเป็นหน้าสรุปการออกกำลังกายล่าสุดว่าเราออกกำลังกายเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร ใช้พลังงานไปกี่ kcal พร้อมทั้งระบุตำแหน่งที่เราออกกำลังกายผ่าน GPS ได้อีกด้วย

หน้าสุดท้ายจะเป็นหน้าโปรไฟล์ที่จะแสดงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้และมีการตั้งค่าต่าง ๆ รวมเอาไว้ในหน้านี้ ทั้งการตั้งค่าจอแสดงผล การแจ้งเตือนต่าง ๆ การจัดการวิดเจ็ต และการตั้งค่าปุ่มลัด “SPORT”

การใช้งานตัวสมาร์ทวอทช์นั้นจะใช้การสไลด์หน้าจอและการทัชเลือก โดยสไลด์ขึ้นเพื่อเปิดศูนย์ควบคุม สไลด์ลงเพื่อดูการแจ้งเตือน สไลด์ไปซ้ายหรือขวาเพื่อดู Widget ต่าง ๆ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ พลังงาน การนอน สภาพอากาศ ความเครียด เพลง การตรวจจับออกซิเจนในเลือดและ VO2 Max ในการออกกำลังกาย

ที่ด้านข้างของตัวเรือนจะมีปุ่มอยู่ 2 ปุ่ม โดยปุ่ม HOME จะเป็นปุ่มที่เอาไว้เพื่อกลับหน้าแรกหรือเข้าหน้ารายการแอพภายในเครื่อง ส่วนปุ่ม SPORT เป็นปุ่มลัดสำหรับเข้าโหมดออกกำลังกายโดยเฉพาะ แต่ทว่าปุ่มนี้นั้นสามารถปรับตั้งค่าให้ระบุลงไปได้เลยว่าจะให้เรียกโหมดออกกำลังชนิดไหนออกมาแทนเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เนื่องจากโหมดออกกำลังนั้นมีมากถึง 117 โหมดเลยทีเดียว

สำหรับการชาร์จนั้นจะเป็นการชารืจแบบใช้แท่นเฉพาะตัว ซึ่งการชาร์จจะเป็นระบบแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดใช้ได้ ไม่หลุดง่าย ๆ โดยตัวเรือนจะมีแบตเตอรี่แบบ Li-Po ขนาด 420 mAh แต่ไม่จำเป็นต้องชาร์จบ่อย ๆ เพราะถึงแม้ตัวระบบวัดอัตราการเต้นหัวใจจะทำงานตลอดเวลา แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ 2 สัปดาห์สบาย ๆ แถมแบตเตอรี่ยังไม่หมดอีกด้วย

หนึ่งในความเจ๋งก็คือการที่ตัวมันรองรับการแสดงผลภาษาไทย 100% หรือก็คือทั้งหน้าเมนูและการแจ้งเตือนทั้งหมดจะเป็นภาษาไทย เพื่อน ๆ จะไม่ต้องมาเจอภาษาต่างดาวให้ปวดใจแน่นอน

อีกสิ่งที่น่าจะถามหากันเยอะก็คือฟีเจอร์ Always on Display ซึ่งก็แน่นอนว่าจากการที่ใช้หน้าจอแบบ AMOLED นี้ก็สามารถใช้งงานได้เช่นกัน โดยสามารถเข้าไปตั้งค่าได้ในหน้าตั้งค่าของตัวนาฬิกาเองเลยในหัวข้อ หน้าจอ > แสดงหน้าจอเสมอ ซึ่งหน้าจอนี้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ 6 รูปแบบตามแต่ที่ชอบ

สรุป Mi Watch

จากที่ได้ลองใช้มา 2 สัปดาห์ต้องบอกเลยว่ามันดีมาก ๆ เบามาก ๆ จนแทบไม่รู้สึกว่าใส่นาฬิกาอยู่เลย แบตอึดจนน่าตกใจทั้ง ๆ ที่มีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจและอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลาแท้ ๆ แต่ก็สามารถใช้ได้มากกว่า 2 สัปดาห์เสียอีก

อีกจุดที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือตัวห่วงเก็บสายจะมีตัวล็อคไม่ให้สายรัดหลุดออกมาด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่ไม่มีใครคิดจะทำแน่นอน